Tamsailom S, Taechaprasertvittaya C, Apinhasmit W, Leelawattanapong P. Comparative effectiveness between ultrasonic scalers with probe-type tip and curved tip in the removal of subgingival calculus. J Dent Assoc Thai 1998;48;124-33.
          This investigation was performed to compare the effectiveness of ultrasonic scalers with probe-type tip and curved tip in the removal of subgingival calculus in patients with periodontal disease. It was done only on the proximal surfaces of single rooted teeth which had been planned for extraction. The mesial and distal surfaces of each selected tooth had the same calculus index and probing depth. Two surfaces of each tooth were assigned by systematic randomization to be instrumented by different types of ultrasonic scaler tip until the smooth root surface was obtained as examined with an explorer tip. After extraction, 51 teeth were studied under a stereomicroscope to assess the amount of residual calculus of each tooth surface. The result showed that the percentage of surfaces with residual calculus of the group using ultrasonic scaler with probe-type tip were 33.3 which was significantly greater than 23.5 of the group using ultrasonic scaler with curved tip (p<0.05), however, when comparing with calculus index and probing pocket depth, the differences of the number of surfaces with residual calculus between the two groups were clinically non-significant. Most of the residual calculus covered a small area which was about 0.1-5.0% of root surface area. No significant difference of the residual calculus area existed between the two groups. From the present study, it was concluded that the effectiveness of ultrasonic scaler with probe-type tip and curved tip were indifferent in the removal of subgingival calculus.
สุพจน์ ตามสายลม, ชนินทร์ เตชะประเสริฐวิทยา, วันดี อภิณหสมิต, พนิดา ลีลาวัฒนาพงษ์. การเปรียบเทียบประสิทธืผลของหัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโฃนิกส์ระหว่างชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์และชนิดปลายโค้งในการกำจัดหินน้ำลายใต้เหงือก. ว ทันต 2541;48;124-33.

          การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของหัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทรา โซนิกส์ชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์และชนิดปลายโค้ง ในการกำจัดหินน้ำลายใต้เหงือกของผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบ โดยขูดหินน้ำลายเฉพาะด้านใกล้กลางและด้านไกลกลาง ในฟันรากเดียวที่ได้รับการวางแผนการรักษาว่าจะถูกถอนจำนวน 51 ซี่ กำหนดให้ด้านทั้งสองของฟันแต่ละซี่มีดัชนีหินน้ำลายและความลึกของพ็อกเก็ตที่หยั่งได้เท่ากัน สุ่มตัวอย่างแต่ละด้านของฟันซี่หนึ่ง ๆ เพื่อเลือกใช้หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์ หรือชนิดปลายโค้ง การขูดหินน้ำลายจะทำจนกระทั่งผิวฟันเรียบและสะอาดเมื่อตรวจด้วยเอ็กซพลอเรอร์ จากนั้นถอนฟันออกมา แล้วนำมาประเมินประสิทธิผลของเครื่องมือในการกำจัดหินน้ำลายใต้เหงือกโดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์สเตอริโอในการพิจารณาปริมาณของหินน้ำลายที่หลงเหลืออยู่บนผิวรากฟัน จากตัวอย่างฟันทั้งหมด แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์ และกลุ่มที่ใช้หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดปลายโค้ง กลุ่มละ 51 ด้าน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังจากการใช้หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์ พบหินน้ำลายหลงเหลืออยู่ร้อยละ 33.3 ของจำนวนด้านทั้งหมดซึ่งมากกว่าการใช้หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดปลายโค้ง ซึ่งพบร้อยละ 23.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามดัชนีหินน้ำลายและตามระดับความลึกของพ็อกเก็ต 3-5 มิลลิเมตร และ 6-10 มิลลิเมตร พบว่า จำนวนด้านที่พบหินน้ำลายหลงเหลืออยู่ของทั้งสองกลุ่มทดลองนั้นใกล้เคียงกัน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาปริมาณของหินน้ำลายที่หลงเหลืออยู่ของทั้งสองกลุ่ม ก็ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) โดยส่วนใหญ่ พบว่าปริมาณของหินน้ำลายที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงพื้นที่ขนาดเล็ก คือ ประมาณร้อยละ 0.1-5.0 ของ พื้นที่ผิวรากฟัน จากผลการวิจัยสรุปว่า หัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดคล้ายเครื่องมือตรวจปริทันต์มีประสิทธิผลในการกำจัดหินน้ำลายใต้เหงือกไม่แตกต่างจากหัวขูดหินน้ำลายสำหรับเครื่องอัลทราโซนิกส์ชนิดปลายโค้ง